สินทรัพย์เสี่ยงกลับมามีกำลังซื้ออีกครั้งโดยตลาด Wall Street บวกแรงในวันพุธ Dow Jones Industrial Average บวก 4.5% จนปิดเหนือ 27,000 ส่วน S&P 500 และ Nasdaq Composite บวก 4.2% และ 3.8% ตามลำดับ ขณะนี้ ดัชนีหลักทั้งสามตัวของสหรัฐฯ พ้นจากการปรับฐานและคำถามสำคัญที่นักลงทุนกำลังถามในขณะนี้ก็คือการบวกครั้งนี้จะไปได้ไกลอีกแค่ไหน

ก่อนที่จะพยายามตอบคำถามเหล่านี้ นักลงทุนควรรู้ว่าความผันผวนอย่างรุนแรงได้กลายเป็นสภาวะปกติในสถานการณ์ปัจจุบัน เราอาจยังคงได้เห็นความเคลื่อนไหวรายวัน 2% ถึง 4%ในทิศทางใดทิศทางหนึ่งจนกว่าเมฆหมอกจะจางลง อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นบวกเมื่อวานนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ได้แก่:

 

  1. Joe Biden ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้คะแนนนำจากการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรค Democratic ในวันซูเปอร์ ทิวส์เดย์ (Super Tuesday) เขาถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่ส่งผลดีต่อตลาดมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งอย่าง Bernie Sanders กับ Elizabeth Warren จึงทำให้หุ้นภาคสุขภาพบวกถึง 5.9%
  2. สภาสหรัฐฯ อนุมัติงบฉุกเฉินเพื่อรับมือวิกฤติโคโรน่าไวรัส 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทั้งสองพรรคต่างเห็นชอบ ส่วนหนึ่งของเงินทุนนี้จะใช้กับการวิจัยและการพัฒนาวัคซีน การรักษาโรค และการวินิจฉัยโรค
  3. IMF ประกาศให้กู้ยืมกรณีฉุกเฉิน 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส
  4. Bank of Canada ลดดอกเบี้ยตาม Fed 50 basis points
  5. กิจกรรมภาคบริการของสหรัฐฯ กระเตื้องขึ้นโดยทำจุดสูงสุดในรอบหนึ่งปีเมื่อเดือนที่แล้ว บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในเศรษฐกิจส่วนนี้ แม้จะมีการระบาดของโคโรน่าไวรัส

 

ขณะที่ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้หนุนให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่การบวกขึ้นของหุ้นอาจเป็นเรื่องชั่วคราว เมื่อพิจารณาสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตรและค่าเงิน ก็ไม่พบว่านักลงทุนกระตือรือร้นเช่นเดียวกับที่เราเห็นในหุ้น โดยเงิน Yen ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับ USD ขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีแทบไม่เทรดเหนือ 1%

จำนวนผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่สัปดาห์หน้า และคาดว่าก่อนสิ้นสัปดาห์นี้ จะมีจำนวนมากกว่า 100,000 รายทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลลบต่อความรู้สึกของนักลงทุน โดยจะมีการสั่งให้พนักงานทำงานที่บ้านมากขึ้น โรงเรียนจะปิดต่อไป และจะมีการยกเลิกกิจกรรมทั่วโลกมากขึ้น คุณจะเห็นความตื่นตกใจได้ชัดเจนเมื่อไปที่ร้านของชำแล้วพบว่าชั้นวางของหลายชั้นว่างเปล่า ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเอเชีย แต่ยังเกิดขึ้นทั่วยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย เพราะผู้บริโภคกำลังตุนของไว้เพื่อเตรียมตัวรับมือกรณีเลวร้ายที่สุด พฤติกรรมดังกล่าวจะเริ่มสะท้อนในข้อมูลเศรษฐกิจเดือนนี้และส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่อไป

เรายังคงไม่รู้ผลกระทบทั้งหมดที่มีต่อผลประกอบการของบริษัทประจำปี 2020 แต่บริษัทสหรัฐฯ จะโชคดีหากพวกเขาคงผลประกอบการในปีที่แล้วไว้ได้ ซึ่งตลาดหุ้นยังไม่ได้สะท้อนข้อมูลนี้ แต่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเคลื่อนไหวครั้งต่อไป เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นการฟื้นตัวแบบ V, W หรือ U เพราะทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับว่าวิกฤติสุขภาพครั้งนี้จะได้รับการแก้ไขเมื่อใด และจนกว่าจะถึงเวลานั้น เราคาดว่ามาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงินจะมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ: เนื้อหาในบทความนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นส่วนตัวและไม่ควรตีความเป็นคำแนะนำส่วนตัว และ/หรือคำแนะนำด้านการลงทุนอื่น ๆ และ/หรือข้อเสนอ และ/หรือคำชักชวนสำหรับการทำธุรกรรมใด ๆ ในตราสารทางการเงิน และ/หรือการรับประกัน และ/หรือการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต ForexTime (FXTM) พันธมิตร ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่หรือพนักงานของบริษัทจะไม่รับประกันความเที่ยงตรง ความถูกต้อง ความทันเวลาหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลใด ๆ หรือข้อมูลที่พร้อมใช้และถือว่าไม่มีความรับผิดต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใด ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน