หุ้นสหรัฐจบสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางรายใหญ่ต่างๆ ซึ่งนำโดยธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟดเคลียร์ทุกข้อสงสัยในการแถลงรายครึ่งปีต่อหน้าสภาคองเกรสจากการที่เขาให้น้ำหนักมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทั่วโลกที่อ่อนแอลและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ตลาดไม่มีข้อสงสัยเรื่องที่ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ว่าธนาคารกลางจะปรับลดมากน้อยเพียงใด

การเปลี่ยนนโยบายจากการกระชับเป็นการผ่อนคลายทำให้เกิดสภาพแวดล้อมของการ “ซื้ออะไรก็ได้” ตั้งแต่หุ้นไปจนถึงพันธบัตรและแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ด้วย การคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐซึ่งเป็นที่จับตามองโดยผู้มีส่วนร่วมในตลาดมากมายเพื่อหาสัญญาณของภาวะถดถอยชันขึ้นอย่างมาก โดยความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนแบบ 3 เดือนกับ 10 ปีอยู่ที่ -0.03% เพิ่มขึ้นจาก -0.29% ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เส้นอัตราผลตอบแทนที่สูงชันแสดงให้เห็นว่าเฟดอาจขยายวงจรเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีข้อกังขาอีกมากมายจากความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศที่ถดถอยลง

ในสัปดาห์นี้เราจะทราบว่าบริษัทเอกชนของสหรัฐมีผลดำเนินการเป็นอย่างไรในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา จากการที่ธนาคารขนาดใหญ่เริ่มเปิดฤดูประกาศผลประกอบการอย่างไม่เป็นทางการ ก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรอย่างไร อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมดว่าเศรษฐกิจมีผลดำเนินการเป็นอย่างไร นักลงทุนจำเป็นต้องหันไปให้ความสนใจกับอัตราการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อธุรกิจ หากอัตราการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นจากไตรมาส 1 จะเป็นการส่งสัญญาณขายต่อหุ้นธนาคาร

ตลาดโดยรวมคาดว่า S&P 500 จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ลดลง 3% แต่ถ้าหากบริษัทยังคงดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มากกว่า 4% ก็มีโอกาสสูงที่เราจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยของผลประกอบการได้ ด้วยข้อเท็จริงนี้บวกกับการคาดการณ์ถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ก็มีแนวโน้มที่กระทิงจะได้ฉลองต่อไป แม้จะมีการประเมินมูลค่าที่สูงเกินไปก็ตาม

วันนี้จีนรายงานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายไตรมาสที่ช้าที่สุดในรอบเกือบสามทศวรรษ เศรษฐกิจขยายตัว 6.2% ในไตรมาสที่ 2 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่ต่ำกว่าการเติบโตของไตรมาสที่ 1 อยู่ 0.2%  ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มที่จะปกป้องระดับการเติบโต 6% นี้ไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ด้วยการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการคลังหรือการเงิน ในด้านดี ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น 6.3% ในเดือนมิถุนายนและยอดค้าปลีกพุ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 9.8% เทรนด์นี้จะยั่งยืนหรือไม่ยังคงต้องรอดูกันต่อไป แต่ถึงกระนั้นข้อมูลก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจีนไม่ได้มุ่งสู่การลงจอดแบบกระแทกรุนแรง

 

ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ: เนื้อหาในบทความนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นส่วนตัวและไม่ควรตีความเป็นคำแนะนำส่วนตัว และ/หรือคำแนะนำด้านการลงทุนอื่น ๆ และ/หรือข้อเสนอ และ/หรือคำชักชวนสำหรับการทำธุรกรรมใด ๆ ในตราสารทางการเงิน และ/หรือการรับประกัน และ/หรือการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต ForexTime (FXTM) พันธมิตร ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่หรือพนักงานของบริษัทจะไม่รับประกันความเที่ยงตรง ความถูกต้อง ความทันเวลาหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลใด ๆ หรือข้อมูลที่พร้อมใช้และถือว่าไม่มีความรับผิดต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใด ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน